เศรษฐศาสตร์ เสนอตั้งกองทุนสร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ

เศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์ เสนอตั้งกองทุนสร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ นักเศรษฐศาสตร์ และ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม ภาคสื่อมวลชน ภาควิชาการ ภาคธุรกิจจะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาวิกฤติทุจริตคอร์รัปชันเป็นจริงเพื่อให้การขับเคลื่อนของภาคส่วนต่างๆตามที่กล่าวมาสามารถต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างเต็มที่มีความต่อเนื่องและหวังผลได้จำเป็นต้องมีระบบสนับสนุนทางงบประมาณจึงขอเสนอให้มีการเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) ขึ้นมาเพื่อจัดตั้งกองทุนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เช่นเดียวกับ กองทุน สสส ของขบวนการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ และ องค์การกระจายเสียงและเผยแพร่ภาพแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอสในการทำหน้าที่สื่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมโดยปราศจากอิทธิพลของอำนาจทุนและอำนาจทางการเมืองแทรกแซงในการทำหน้าที่หรือนำเอานำเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดจากกรณีทุจริตมาเป็นงบประมาณสนับสนุนก็กองทุนต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันจะเป็นกลไกในการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสื่อมวลชน ภาควิชาการ และ ภาคประชาสังคม ได้ดีกว่า กลไกของ ปปช ที่มีอิทธิพลของการเมืองและราชการครอบงำอยู่ไม่เป็นอิสระ หรือ เป็นกลางอย่างแท้จริง การดำเนินการของ ปปช อาจเกิดการเลือกปฏิบัติได้เสมอ

นอกจากนี้ระบบการประเมินผล ITA ของ ปปช ยังขาดความน่าเชื่อถืออย่างมาก โดยกองทุนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันนี้ต้องอยู่นอกสำนักงาน ปปช เป็นองค์กรที่ต้องเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง มีความเป็นกลางทางการเมือง และสามารถให้ความเป็นธรรมต่อทุกคนได้ หรือหากเกรงว่าการใช้เก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะจะเกิดความสุ่มเสี่ยงต่อประเด็นวินัยทางการคลัง ก็ขอเสนอให้นำเอานำเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดจากกรณีทุจริตคอร์รัปชันมาเป็นส่วนหนึ่งมาจัดตั้งกองทุน ความจริงแล้ว ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะนั้น หากออกแบบให้ดีตั้งแต่แรกจะทำให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้เงินภาษีและเงินสาธารณะ

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ต้องใช้พลังความรู้ข้อมูลและความจริงเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยโปร่งใสขึ้น ระบบการเมืองและระบบราชการมีธรรมาภิบาลมากขึ้นต้องสร้างให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของเครือข่ายทางสังคมอย่างกว้างขวางโดยผ่านการเคลื่อนไหวทางปัญญาที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

เศรษฐศาสตร์

การเคลื่อนไหวขับเคลื่อนนี้ต้องนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับจิตสำนึกและวัฒนธรรมของสังคมโดยเฉพาะในสังคมของข้าราชการและนักการเมือง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากระบบรวมศูนย์เป็นระบบกระจายอำนาจ ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนจากแนวดิ่งมาเป็นแนวราบ การผลักดันการต่อต้านการทุจริตต้องนำไปสู่การเอาจริงเอาจังทางนโยบาย

นายอนุสรณ์ ได้ให้ความเห็นต่อว่า การกระจายอำนาจต้องทำอย่างครอบคลุมทุกประเภท ทั้งกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) การกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administration Decentralization) การกระจายอำนาจทางการคลัง (Fiscal Decentralization) นอกจากนี้ ต้องมีการกระจายอำนาจที่มีลักษณะเข้มข้นสูงสุดจึงลดปัญหาคอร์รัปชันในระดับกรม (อธิบดี) ในระดับกระทรวง (ปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรี) ได้ ต้องไม่ใช่แค่แบ่งอำนาจ (Deconcentration) หรือไม่ใช่แค่การมอบหมายให้ทำแทน (Delegation) แต่ต้องเป็นการถ่ายโอนอำนาจให้จริงๆ (Devolution) ค่อนข้างประจักษ์ชัดว่า รัฐธรรมนูญปี 60 นั้นเป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจ รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงปี60

นอกจากไม่สามารถปราบโกงได้แล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันมากกว่าเดิมดั่งที่ปรากฎเป็นข่าวอยู่เป็นระยะๆ องค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญก็ไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและยังไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่มีที่มาจากประชาชน แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 และ ปี 50

นักเศรษฐศาสตร์ และ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า หากเราไม่มีการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและใสสะอาด ไม่สามารถหยุดการซื้อ ส.ส. เข้าพรรค หรือใช้เงินจำนวนมากในการซื้อเสียงและการรณรงค์เลือกตั้ง เราย่อมไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในปัญหาวิกฤติคอร์รัปชันได้ การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองแนวใหม่ต้องนำไปสู่เครือข่ายที่กว้างขวางมากพอจนเกิดกระแสการลงโทษต่อข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองผู้ทุจริตได้จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า เครือข่ายประชาสังคมต้องสามารถสร้างกระแสกดดันให้สามารถถอดถอนข้าราชการระดับสูง ตำรวจหรือผู้นำกองทัพผ่านกระบวนการทางกฎหมายได้ หรือ สามารถเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองโกงผ่านระบบเลือกตั้งอย่างสันติ และ ต้องไม่กลายเป็นเงื่อนไขสร้างความชอบธรรมให้มีการรัฐประหาร

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง กระแสเม็ดเงินการลงทุนและการท่องเที่ยวจากต่างชาติกำลังอยู่ในช่วงแรกของภาวะขาขึ้น โครงการลงทุนขนาดใหญ่กำลังเดินหน้า ความโปร่งใสในการทำสัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้างจัดหาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากต่อนักลงทุนระยะยาวในโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติ หากประเทศไทยทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่นี่ไม่มีการเรียกเก็บเงินซ้ำซ้อนด้วยการคอร์รัปชันนอกเหนือจากภาษีที่เก็บเข้ารัฐแล้ว ประเทศไทยย่อมเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนสำคัญและนำมาสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอันเป็นพื้นฐานสำคัญ ในการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสู่ประชาชนส่วนใหญ่และธุรกิจรายเล็กรายย่อยรายกลางอย่างทั่วถึง การเติบโตที่เน้นการกระจายรายได้จำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นด้ยการ กระจายทรัพยากรและรายได้เสียใหม่ คือ ใช้ Redistribution Policy ที่ไม่ไปลดประสิทธิภาพการทำงานของตลาด